วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประเทศฟิลิปปินส์กับกลุ่มแนวคิดอิสลามนิยม

ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สำหรับศาสนาหลักของที่นี่คือ ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นผลมาจากการเคยตกเป็นประเทศในอาณานิคมสเปนมานามถึง 300 ปี แต่ทั้งนี้สเปนก็ไม่อาจขยายอิทธิพลของศาสนาไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เช่น หมู่เกาะมินดาเนา ก็ถูกขัดขวางจากศาสนาอิสลามที่เป็นเหมือนกำแพงสำคัญที่สกัดการไหลลงของคริสตจักร แต่แล้วเมื่อฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชให้เป็นรัฐอธิปไตยบทบาทในการปกครองและบริหารประเทศก็ได้ตกอยู่ในมือของรัฐบาลที่เป็นชนชาวคริสต์ เพราะเป็นพลเมืองที่มีมากกว่า ประกอบกับการสนับสนุนการให้อำนาจจากสหรัฐฯ จึงทำให้ชาวมุสลิมในพื้นที่ตอนใต้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและไร้ซึ่งอำนาจทางการเมืองในพื้นที่ส่วนกลาง อีกทั้งรัฐบาลได้ส่งชาวคริสต์เข้าไปอาศัยในพื้นที่ชาวมุสลิมในตอนใต้ เพื่อกลืนกลายวัฒนธรรมและจัดสรรทรัพยากร การเข้าไปของชาวคริสต์ในมินดาเนา สร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมท้องถิ่น เพราะมีความรู้สึกว่าชาวคริสต์เข้ามาแย่งพื้นที่ทำกินและอาจทำให้อารยธรรมของชาวมุสลิมท้องถิ่นถูกทำลาย ซึ่งปัญหาความขัดแย้งด้านอารยธรรมและศาสนานั้นเป็นปัญหาของชาวคริสต์กับชาวมุสลิมมาตั้งแต่สมัยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนเสียอีก ประกอบกับในช่วงที่ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชและสั่งชาวคริสต์อพยพไปยังพื้นที่ของชาวมุสลิมนั้น ได้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ชาวคริสต์มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ดีได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ชาวมุสลิมท้องถิ่นกลับมีภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง จึงยิ่งเพิ่มความไม่พอใจแก่ชาวมุสลิมต่อชาวคริสต์ จนนำไปสู่ความบาดหมางและสู้รบกันระหว่างชนสองศาสนา และเหตุการณ์ก็ยิ่งแล้วร้ายลงกว่าเดิมเมื่อรัฐบาลได้ส่งทหารชายชาวคริสต์เตียน ทำให้ชาวมุสลิมเข้าใจว่ารัฐบาลเข้าข้างชาวคริสต์เตียน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มมุสลิมจำนวนหนึ่งมีการรวมตัวกันขึ้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชาวมุสลิม โดยกลุ่มนี้มีชื่อว่า Moro National Liberation Front (MNLF)

Moro National Liberation Front (MNLF) กระบอกเสียงแห่งมุสลิมฟิลิปปินส์
            การก่อเกิด MNLF หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร

            MNLF เป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกครองตัวเองของกลุ่มมุสลิมเพราะคิดว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล MNLF จัดตั้งขึ้นโดยนูร์ มิซูอารี มุสลิมชาวโมโรที่ได้ที่ไปศึกษาที่ประเทศลิเบีย แต่ก่อนการก่อตั้ง MNLF นั้นได้มีการเกิดกลุ่ม MIM (Muslim Independence Movement ) ในเมืองโคจาบาโต โดยการนำของ Datu Udtug Matalam ซึ่งมีเป้าหมายของกลุ่มคือการแบ่งแยกมินดาเนาเป็นรัฐมุสลิม แต่ต่อมากลุ่มนี้ได้ลดบทบาทลงในการเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์ทำให้ มิซาอารี เริ่มจัดตั้ง MNLF ขึ้นในปี 1971 โดย MNLF ได้รับความช่วยเหลือในด้านกลยุทธ์จากรัฐซาบาร์ ประเทศมาเลเซียและกัดดาฟี จากประเทศลิเบีย โดยในระยะแรก MNLF ได้เรียกร้องให้แยกมินดาเนาเป็นรัฐอิสระและให้รัฐบาลยอมรับองค์กรนี้เป็นองค์กรถูกกฎหมายที่เป็นตัวแทนของมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์
            เห็นได้ว่ากลุ่มมุสลิมแนวคิดอิสลามนิยมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์เลือกการเคลื่อนไหวในการจัดตั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดอาวุธและใช้กำลังในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องและต่อรองอำนาจทางการเมืองกับรัฐบาลแทนการจัดตั้งพรรคการเมืองลงสมัครแข่งขันทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งในการบริหารและปกครองที่เป็นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นฐานเสียงที่สนับสนุนจะมากพอที่จะนำไปสู่การมีอำนาจต่อรองทางการเมืองหรือไม่ เพราะมุสลิมในฟิลิปปินส์เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ประกอบกับรัฐบาลไม่เคยพัฒนาระบบการศึกษาและเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านี้เท่าที่ควร มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสทางการศึกษา การขอแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระนั้นมีแรงบีบคั่นมาจากการภาวะทางเศรษฐกิจและความไม่ยุติธรรมของรัฐบาลในการให้สิทธิความเป็นพลเมืองแก่ชาวมุสลิมทางตอนใต้ ประกอบกับความคิดของชาวมุสลิมที่เชื่อว่า ดินแดนแถบนี้ในอดีตเป็นของบรรพบุรุษมุสลิมทั้งหมดที่มีการปกครองแบบอิสลาม ในระบบสุลต่าน โดยสุลต่านสำคัญคือสุลต่านซูลูและมากินดา ความนิยมใน MNLF มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชาวมุสลิมเชื่อว่าอุดมการณ์นี้จะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวมุสลิมดีขึ้น การได้รับความยอมรับจากชาวมุสลิมท้องถิ่นทำให้รัฐบาลมีการปราบปราม MNLF อย่างหนักซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นคือ มาร์กอสจากการปราบปรามอย่างหนักทำให้มีการปลุกระดมความเป็นชาตินิยมขึ้นในกลุ่มมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์โดยอาศัยความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ศาสนาเดียวกัน พื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันภายใต้คำเรียกร่วมกันว่า Bangsa Moro เป็นการพัฒนาแนวคิดจากมิชารี ซึ่งคำว่าโมโรคือคำที่ชาวสเปนใช้เรียกมุสลิมในฟิลิปปินส์ในสมัยที่ปกครองฟิลิปปินส์และเป็นกลุ่มที่ต่อต้านสเปนมาตลอด แนวคิดนี้มีผลต่อการขยายอุดมการณ์ของ MNLF เป็นอย่างดี

            การเคลื่อนไหวของ MNLF ถือเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่งเพราะทำให้รัฐบาลให้ความสนใจกับปัญหาในตอนใต้และชาวมุสลิมมากขึ้น โดยสมัยของรัฐบาลมาร์กอสได้มีการขัดตั้ง Amanah Bank จัดตั้งศูนย์มุสลิมศึกษาที่ U.P และจัดตั้งศาสนามุสลิม Shariah Court ขึ้นรวมถึงยังสนับสนุนให้ชาวมุสลิมได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลมากขึ้นด้วย และมีการพยายามเจรจากับ MNLF ในการประชุม OIC (Oganization of Islamic conference) เพื่อหาข้อยุติความรุนแรง แต่การเจรจาในสมัยรัฐบาลมาร์กอสไม่เป็นผลเท่าที่ควร
            การแก้ไขปัญหาของมาร์กอสดูเหมือนเป็นไปได้ด้วยดีแต่สุดท้ายแก้ไม่อาจแก้ปัญหากลุ่ม MNLF ได้อย่างที่คิด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และอาศัยอำนาจเผด็จการแต่งตั้งมุสลิมที่เป็นพรรคพวกตัวเองเข้าไปดำเนินกิจการต่างๆ แม้จะมีการพัฒนาแต่เป็นการพัฒนาเฉพาะกลุ่มของตัวเอง ทำให้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้รับความยุติธรรม(สีดา สอนศรี ,มติชนรายวัน 2548:4 ) ทำให้ในตอนหลัง MNLF รวมมือกับพรรคบายันพรรคการเมืองฝ่ายเป็นกลางของผู้นำรุ่นเก่าของฟิลิปปินส์ในการโค่นมาร์กอส

ความขัดแย้งภายของกุล่ม MNLF
การเคลื่อนไหวของ MNLF ที่มีความต่อเนื่องและเข้มแข็งกลับต้องพบกับปัญหาเมื่อสมาชิกร่วมขบวนการมีความคิดเห็นที่ขดแย้งกัน เมื่อในตอนหลังมิซูอารีผู้ก่อตั้ง MNLF ต้องการเพียงเข้าร่วมกับรัฐบาลและให้ภาคใต้เป็นเขตปกครองตนเองนั้นซึ่งเป็นความคิดที่สวนทางกับสมาชิกในกลุ่มนั้นคือ ซาลามัต ฮาซิมที่มีความคิดที่ต้องการแยกภาคใต้มาเป็นรัฐอิสระเพื่อก่อตั้งรัฐอิสลาม จึงมีการแยกตัวออกมาตั้งกลุ่มใหม่คือ MILF (แนวร่วมปลดแอกอิสลามโมโร) ในช่วงทศวรรษ 1970 ตอนที่ MNLF ไปทำความตกลงกับรัฐบาลโดยยินยอมละทิ้งข้อเรียกร้องเรื่องรัฐเอกราช และยอมรับเพียงฐานะการเป็นเขตกึ่งปกครองตนเองต่อมาหลังจากผ่านการลงประชามติของประชาชนในท้องถิ่นเมื่อปี 1989 แล้ว พื้นที่ปกครองตนเองนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักเรียกขานกันในชื่อว่า เขตปกครองตนเองของชาวมุสลิมในมินดาเนา” (Autonomous Region in Muslim Mindanao ใช้อักษรย่อว่า ARMM)  (Zenn Jacob, ,2012:6) และต่อมาเมื่อ MNLF ได้เข้าร่วมลงนามเพื่อสันติภาพกับรัฐบาลในปี ค.ศ. 1996 ในสมัยรัฐบาลรามอส ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับล่าสุดที่รัฐบาลกับกลุ่ม MNLF ทำขึ้น กลุ่ม MILF จึงทำการต่อต้านรัฐบาล โดยการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตอนใต้ เพื่อต่อร้องข้อเสนอที่ต้องการดินแดนในมินดาเนา

            ทุกรัฐบาลในฟิลิปปินส์มีการนำปัญหาภาคใต้มาแก้ไขแต่ยังไม่สามารถหาทางออกที่นำไปสู่ความสันติที่แท้จริงได้และในปัจจุบัน MILF ได้กลายเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่ที่สุดในมินดาเนาจนมาถึงสมัยของประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโนที่สาม ได้ทำการเจรากับหัวหน้า  MILF คนปัจจุบันนั้นคือ มูราด อิบราฮิม เพื่อลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีกรุงมะนิลาในเดือนตุลาคม 2012  โดยมีนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมาเป็นสักขีพยาน

       ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของการเคลื่อนไหวของมุสลิมในฟิลิปปินส์เพื่อเรียกร้องสิทธิการปกครองตามอุดมการณ์ของตนเอง ข้อตกลงนี้อำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่จัดอยู่ในประเภทเป็นอำนาจอธิปไตยเฉพาะของรัฐ เป็นต้นว่า การดำเนินนโยบายการต่างประเทศ และการดำเนินกิจการทางด้านกลาโหม ในข้อตกลงนี้ระบุว่าจะยังคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลางในกรุงมะนิลา แต่บังซาโมโรก็จะมีอำนาจในด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บภาษี และ สิทธิที่จะทำให้ศาลศาสนาอิสลามมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นถึงแม้ศาลอิสลามและกฎหมายอิสลามจะพิจารณาตัดสินคดีเฉพาะของคนมุสลิมเท่านั้น (Zenn Jacob,2012:9) ข้อตกลงนี้จะเป็นการปูทางกลุ่ม MILF ในการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มเพื่อยกสถานะภาพให้เป็นที่ยอมรับและถูกต้องตามกฎหมาย ที่สามารถแสดงอุดมการณ์ของตนผ่านนโยบายพรรค

            หนทางสู่ความสันติภาพไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ MILF สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่ม MNLF กลุ่มกบฏเก่าที่เคยทำสัญญาสงบศึกกับรัฐแล้วที่ยังคงต้องการมีอำนาจในเขตปกครองพิเศษนี้ จนทำให้ มิซูอารี ผู้นำของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน MNLF และกลุ่มBIFF กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใหม่ที่แยกตัวจาก MILFต่างต่อต้านการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ทำการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มแนวMILF ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏ โดยมีกำลังพลทั้งสิ้น 12,000 คน   มิซูอารีเกรงว่า ข้อตกลงจัดตั้งเขตปกครองตนเอง ที่รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังเจรจากับกลุ่ม MILF โดยมีทีท่าว่าอาจจะตกลงกันได้เร็วๆ นี้ จะกีดกันกลุ่ม MNLF ของเขาออกไปนอกวง ขณะที่กลุ่มBIFF นั้นได้แยกตัวออกมาจากกลุ่ม MILF เพราะไม่ต้องการแค่การปกครองตนเอง แต่ยังเรียกร้องให้แยกดินแดนของชาวมุสลิมทางภาคใต้ออกเป็นประเทศเอกราชด้วย (ผู้จัดการออนไลน์,3 กันยายน,2556)

     จากกนี้ปลายทางการเคลื่อนไหวเพื่อมุสลิมในฟิลิปปินส์จะเป็นอย่างไร โอกาสการเปลี่ยนจากกบฏเป็นพรรคการเมืองจะเป็นไปได้หรือไม่ ยังคงต้องรอติดตามกันต่อไปแต่หากกลุ่มผู้เคลื่อนไหวที่ยกประเด็นความยุติธรรมเพื่อชาวมุสลิมยังคงมีความขัดแย้งกันเองเช่นนี้ โอกาสการเข้ามามีอำนาจทางกการเมืองของกลุ่มการเมืองแนวคิดอิสลามนิยมในฟิลิปปินส์คงอยู่ไกลออกไปกว่าเดิม

เขียนโดยซูไรดา สาตา

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

สีดา สอนศรี.ฟิลิปปินส์: จากงครามโลกครั้งที่2 สู่พลังประชาชน.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ2537


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น