วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความอิสระของสื่อกับความไม่สงบในมินดาเนา

ประเทศฟิลิปปินส์ตกอยู่ในอาณานิคมของสเปน 400 กว่าปีนานมาก จากนั้นก็มาตกอยู่ภายในของสหรัฐฯ อีกหลังสงครามโลก และเป็นที่ต้องการแก่นักเดินเรือ พ่อค้า บริษัทการค้า เพราะภูมิศาสตร์เป็นจุดยุทธศาสตร์ แล้วก็มีความอุดมสมบูรณ์ คือทั้งอินโดนีเซีย ทั้งฟิลิปปินส์ ล้วนแล้วแต่เป็นหมู่เกาะขนาดใหญ่ทีเดียว ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มาใกล้ทางชายฝั่ง ในด้านของประเทศฟิลิปปินส์ ถ้าเวลาพูดถึงสื่อของเขาจะภูมิใจมากๆ เพราะสื่อเขามีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในการปลดปล่อยประเทศออกจากความเป็นอาณานิคม

บทบาทของสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้งมินดาเนา เป็นตัวกลางในการเผยแพร่ข่าว ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังจากประกาศกฎอัยการศึกอดีตประธานธิบดี มาร์กอส ส่งผลให้ทุกสถานีที่ออกอากาศเงียบสนิทและหนังสือพิมพ์ไม่มีการเผยแพร่ข่าว เนื่องจาก มาร์กอสได้สั่งการควบคุมสื่อมวลชน ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับกบฏโมโรที่ปกคลุมมินดาเนาถูกฆ่าตาย ไม่มีรายงานการ และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งไม่มีการออกสื่อ ซึ่งหลังจากที่ประธานธิบดี มาร์กอสปลดจากตำแหน่ง ทำให้สื่อต่างๆในฟิลิปปินส์มีอิสระมากขึ้น และยังสื่อกลางในการระหว่างประชาชนอีกด้วย ในทางกลับกันสื่อได้กลายเป็น มากกว่าคนส่งข่าวสารต่างๆ โดยการให้ความรุ้แกผู้คน เกี่ยวกับประวัตติศาสตร์ที่ผ่านมา และยังเปิดตาให้ผู้คนเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านอีกด้วย

ทั้งนี้ในกรณี ผู้สื่อข่าวและตากล้อง เกือบทุกคนเป็นที่น่ารังเกียจของทหารในมินดาเนา แม้ว่าไฟที่เจ็บปวดมานานจะดับแล้ว แต่ข่าวที่ได้รับการประกาศ มิอาจห้ามความคิดแค้นของพวกเขา ซึ่งสื่อได้มีส่วนร่วมไปสู่การสร้างตำนาน ปัจจุบันสื่อมีบทบาทอย่างมากในการขยับขยายการแบ่งแยกระหว่างชาวมุสลิมและประเทศของตัวเองของพวกเขา และสงครามความขัดแย้งเป็นสงครามศาสนาของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ และชาวมุสลิมที่เปรียบเทียบกับกองกำลังที่ต้องการจะสร้างรัฐอิสลามอิสระ Mndanao ขณะที่ สื่อมวลชนยังมีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัจจุบันก็จะไม่สนใจบริบททางประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งมินดาเนาไปยังจุดที่มีอิทธิพลต่อ ความคิดเห็นของประชาชน

อ้างอิงจาก   http://kalilintad.tripod.com/role_of_media.htm
ประเทศฟิลิปปินส์กับกลุ่มแนวคิดอิสลามนิยม

ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สำหรับศาสนาหลักของที่นี่คือ ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นผลมาจากการเคยตกเป็นประเทศในอาณานิคมสเปนมานามถึง 300 ปี แต่ทั้งนี้สเปนก็ไม่อาจขยายอิทธิพลของศาสนาไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เช่น หมู่เกาะมินดาเนา ก็ถูกขัดขวางจากศาสนาอิสลามที่เป็นเหมือนกำแพงสำคัญที่สกัดการไหลลงของคริสตจักร แต่แล้วเมื่อฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชให้เป็นรัฐอธิปไตยบทบาทในการปกครองและบริหารประเทศก็ได้ตกอยู่ในมือของรัฐบาลที่เป็นชนชาวคริสต์ เพราะเป็นพลเมืองที่มีมากกว่า ประกอบกับการสนับสนุนการให้อำนาจจากสหรัฐฯ จึงทำให้ชาวมุสลิมในพื้นที่ตอนใต้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและไร้ซึ่งอำนาจทางการเมืองในพื้นที่ส่วนกลาง อีกทั้งรัฐบาลได้ส่งชาวคริสต์เข้าไปอาศัยในพื้นที่ชาวมุสลิมในตอนใต้ เพื่อกลืนกลายวัฒนธรรมและจัดสรรทรัพยากร การเข้าไปของชาวคริสต์ในมินดาเนา สร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมท้องถิ่น เพราะมีความรู้สึกว่าชาวคริสต์เข้ามาแย่งพื้นที่ทำกินและอาจทำให้อารยธรรมของชาวมุสลิมท้องถิ่นถูกทำลาย ซึ่งปัญหาความขัดแย้งด้านอารยธรรมและศาสนานั้นเป็นปัญหาของชาวคริสต์กับชาวมุสลิมมาตั้งแต่สมัยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนเสียอีก ประกอบกับในช่วงที่ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชและสั่งชาวคริสต์อพยพไปยังพื้นที่ของชาวมุสลิมนั้น ได้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ชาวคริสต์มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ดีได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ชาวมุสลิมท้องถิ่นกลับมีภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง จึงยิ่งเพิ่มความไม่พอใจแก่ชาวมุสลิมต่อชาวคริสต์ จนนำไปสู่ความบาดหมางและสู้รบกันระหว่างชนสองศาสนา และเหตุการณ์ก็ยิ่งแล้วร้ายลงกว่าเดิมเมื่อรัฐบาลได้ส่งทหารชายชาวคริสต์เตียน ทำให้ชาวมุสลิมเข้าใจว่ารัฐบาลเข้าข้างชาวคริสต์เตียน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มมุสลิมจำนวนหนึ่งมีการรวมตัวกันขึ้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชาวมุสลิม โดยกลุ่มนี้มีชื่อว่า Moro National Liberation Front (MNLF)

Moro National Liberation Front (MNLF) กระบอกเสียงแห่งมุสลิมฟิลิปปินส์
            การก่อเกิด MNLF หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร

            MNLF เป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกครองตัวเองของกลุ่มมุสลิมเพราะคิดว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล MNLF จัดตั้งขึ้นโดยนูร์ มิซูอารี มุสลิมชาวโมโรที่ได้ที่ไปศึกษาที่ประเทศลิเบีย แต่ก่อนการก่อตั้ง MNLF นั้นได้มีการเกิดกลุ่ม MIM (Muslim Independence Movement ) ในเมืองโคจาบาโต โดยการนำของ Datu Udtug Matalam ซึ่งมีเป้าหมายของกลุ่มคือการแบ่งแยกมินดาเนาเป็นรัฐมุสลิม แต่ต่อมากลุ่มนี้ได้ลดบทบาทลงในการเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์ทำให้ มิซาอารี เริ่มจัดตั้ง MNLF ขึ้นในปี 1971 โดย MNLF ได้รับความช่วยเหลือในด้านกลยุทธ์จากรัฐซาบาร์ ประเทศมาเลเซียและกัดดาฟี จากประเทศลิเบีย โดยในระยะแรก MNLF ได้เรียกร้องให้แยกมินดาเนาเป็นรัฐอิสระและให้รัฐบาลยอมรับองค์กรนี้เป็นองค์กรถูกกฎหมายที่เป็นตัวแทนของมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์
            เห็นได้ว่ากลุ่มมุสลิมแนวคิดอิสลามนิยมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์เลือกการเคลื่อนไหวในการจัดตั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดอาวุธและใช้กำลังในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องและต่อรองอำนาจทางการเมืองกับรัฐบาลแทนการจัดตั้งพรรคการเมืองลงสมัครแข่งขันทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งในการบริหารและปกครองที่เป็นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นฐานเสียงที่สนับสนุนจะมากพอที่จะนำไปสู่การมีอำนาจต่อรองทางการเมืองหรือไม่ เพราะมุสลิมในฟิลิปปินส์เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ประกอบกับรัฐบาลไม่เคยพัฒนาระบบการศึกษาและเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านี้เท่าที่ควร มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสทางการศึกษา การขอแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระนั้นมีแรงบีบคั่นมาจากการภาวะทางเศรษฐกิจและความไม่ยุติธรรมของรัฐบาลในการให้สิทธิความเป็นพลเมืองแก่ชาวมุสลิมทางตอนใต้ ประกอบกับความคิดของชาวมุสลิมที่เชื่อว่า ดินแดนแถบนี้ในอดีตเป็นของบรรพบุรุษมุสลิมทั้งหมดที่มีการปกครองแบบอิสลาม ในระบบสุลต่าน โดยสุลต่านสำคัญคือสุลต่านซูลูและมากินดา ความนิยมใน MNLF มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชาวมุสลิมเชื่อว่าอุดมการณ์นี้จะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวมุสลิมดีขึ้น การได้รับความยอมรับจากชาวมุสลิมท้องถิ่นทำให้รัฐบาลมีการปราบปราม MNLF อย่างหนักซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นคือ มาร์กอสจากการปราบปรามอย่างหนักทำให้มีการปลุกระดมความเป็นชาตินิยมขึ้นในกลุ่มมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์โดยอาศัยความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ศาสนาเดียวกัน พื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันภายใต้คำเรียกร่วมกันว่า Bangsa Moro เป็นการพัฒนาแนวคิดจากมิชารี ซึ่งคำว่าโมโรคือคำที่ชาวสเปนใช้เรียกมุสลิมในฟิลิปปินส์ในสมัยที่ปกครองฟิลิปปินส์และเป็นกลุ่มที่ต่อต้านสเปนมาตลอด แนวคิดนี้มีผลต่อการขยายอุดมการณ์ของ MNLF เป็นอย่างดี

            การเคลื่อนไหวของ MNLF ถือเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่งเพราะทำให้รัฐบาลให้ความสนใจกับปัญหาในตอนใต้และชาวมุสลิมมากขึ้น โดยสมัยของรัฐบาลมาร์กอสได้มีการขัดตั้ง Amanah Bank จัดตั้งศูนย์มุสลิมศึกษาที่ U.P และจัดตั้งศาสนามุสลิม Shariah Court ขึ้นรวมถึงยังสนับสนุนให้ชาวมุสลิมได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลมากขึ้นด้วย และมีการพยายามเจรจากับ MNLF ในการประชุม OIC (Oganization of Islamic conference) เพื่อหาข้อยุติความรุนแรง แต่การเจรจาในสมัยรัฐบาลมาร์กอสไม่เป็นผลเท่าที่ควร
            การแก้ไขปัญหาของมาร์กอสดูเหมือนเป็นไปได้ด้วยดีแต่สุดท้ายแก้ไม่อาจแก้ปัญหากลุ่ม MNLF ได้อย่างที่คิด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และอาศัยอำนาจเผด็จการแต่งตั้งมุสลิมที่เป็นพรรคพวกตัวเองเข้าไปดำเนินกิจการต่างๆ แม้จะมีการพัฒนาแต่เป็นการพัฒนาเฉพาะกลุ่มของตัวเอง ทำให้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้รับความยุติธรรม(สีดา สอนศรี ,มติชนรายวัน 2548:4 ) ทำให้ในตอนหลัง MNLF รวมมือกับพรรคบายันพรรคการเมืองฝ่ายเป็นกลางของผู้นำรุ่นเก่าของฟิลิปปินส์ในการโค่นมาร์กอส

ความขัดแย้งภายของกุล่ม MNLF
การเคลื่อนไหวของ MNLF ที่มีความต่อเนื่องและเข้มแข็งกลับต้องพบกับปัญหาเมื่อสมาชิกร่วมขบวนการมีความคิดเห็นที่ขดแย้งกัน เมื่อในตอนหลังมิซูอารีผู้ก่อตั้ง MNLF ต้องการเพียงเข้าร่วมกับรัฐบาลและให้ภาคใต้เป็นเขตปกครองตนเองนั้นซึ่งเป็นความคิดที่สวนทางกับสมาชิกในกลุ่มนั้นคือ ซาลามัต ฮาซิมที่มีความคิดที่ต้องการแยกภาคใต้มาเป็นรัฐอิสระเพื่อก่อตั้งรัฐอิสลาม จึงมีการแยกตัวออกมาตั้งกลุ่มใหม่คือ MILF (แนวร่วมปลดแอกอิสลามโมโร) ในช่วงทศวรรษ 1970 ตอนที่ MNLF ไปทำความตกลงกับรัฐบาลโดยยินยอมละทิ้งข้อเรียกร้องเรื่องรัฐเอกราช และยอมรับเพียงฐานะการเป็นเขตกึ่งปกครองตนเองต่อมาหลังจากผ่านการลงประชามติของประชาชนในท้องถิ่นเมื่อปี 1989 แล้ว พื้นที่ปกครองตนเองนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักเรียกขานกันในชื่อว่า เขตปกครองตนเองของชาวมุสลิมในมินดาเนา” (Autonomous Region in Muslim Mindanao ใช้อักษรย่อว่า ARMM)  (Zenn Jacob, ,2012:6) และต่อมาเมื่อ MNLF ได้เข้าร่วมลงนามเพื่อสันติภาพกับรัฐบาลในปี ค.ศ. 1996 ในสมัยรัฐบาลรามอส ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับล่าสุดที่รัฐบาลกับกลุ่ม MNLF ทำขึ้น กลุ่ม MILF จึงทำการต่อต้านรัฐบาล โดยการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตอนใต้ เพื่อต่อร้องข้อเสนอที่ต้องการดินแดนในมินดาเนา

            ทุกรัฐบาลในฟิลิปปินส์มีการนำปัญหาภาคใต้มาแก้ไขแต่ยังไม่สามารถหาทางออกที่นำไปสู่ความสันติที่แท้จริงได้และในปัจจุบัน MILF ได้กลายเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่ที่สุดในมินดาเนาจนมาถึงสมัยของประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโนที่สาม ได้ทำการเจรากับหัวหน้า  MILF คนปัจจุบันนั้นคือ มูราด อิบราฮิม เพื่อลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีกรุงมะนิลาในเดือนตุลาคม 2012  โดยมีนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมาเป็นสักขีพยาน

       ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของการเคลื่อนไหวของมุสลิมในฟิลิปปินส์เพื่อเรียกร้องสิทธิการปกครองตามอุดมการณ์ของตนเอง ข้อตกลงนี้อำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่จัดอยู่ในประเภทเป็นอำนาจอธิปไตยเฉพาะของรัฐ เป็นต้นว่า การดำเนินนโยบายการต่างประเทศ และการดำเนินกิจการทางด้านกลาโหม ในข้อตกลงนี้ระบุว่าจะยังคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลางในกรุงมะนิลา แต่บังซาโมโรก็จะมีอำนาจในด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บภาษี และ สิทธิที่จะทำให้ศาลศาสนาอิสลามมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นถึงแม้ศาลอิสลามและกฎหมายอิสลามจะพิจารณาตัดสินคดีเฉพาะของคนมุสลิมเท่านั้น (Zenn Jacob,2012:9) ข้อตกลงนี้จะเป็นการปูทางกลุ่ม MILF ในการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มเพื่อยกสถานะภาพให้เป็นที่ยอมรับและถูกต้องตามกฎหมาย ที่สามารถแสดงอุดมการณ์ของตนผ่านนโยบายพรรค

            หนทางสู่ความสันติภาพไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ MILF สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่ม MNLF กลุ่มกบฏเก่าที่เคยทำสัญญาสงบศึกกับรัฐแล้วที่ยังคงต้องการมีอำนาจในเขตปกครองพิเศษนี้ จนทำให้ มิซูอารี ผู้นำของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน MNLF และกลุ่มBIFF กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใหม่ที่แยกตัวจาก MILFต่างต่อต้านการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ทำการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มแนวMILF ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏ โดยมีกำลังพลทั้งสิ้น 12,000 คน   มิซูอารีเกรงว่า ข้อตกลงจัดตั้งเขตปกครองตนเอง ที่รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังเจรจากับกลุ่ม MILF โดยมีทีท่าว่าอาจจะตกลงกันได้เร็วๆ นี้ จะกีดกันกลุ่ม MNLF ของเขาออกไปนอกวง ขณะที่กลุ่มBIFF นั้นได้แยกตัวออกมาจากกลุ่ม MILF เพราะไม่ต้องการแค่การปกครองตนเอง แต่ยังเรียกร้องให้แยกดินแดนของชาวมุสลิมทางภาคใต้ออกเป็นประเทศเอกราชด้วย (ผู้จัดการออนไลน์,3 กันยายน,2556)

     จากกนี้ปลายทางการเคลื่อนไหวเพื่อมุสลิมในฟิลิปปินส์จะเป็นอย่างไร โอกาสการเปลี่ยนจากกบฏเป็นพรรคการเมืองจะเป็นไปได้หรือไม่ ยังคงต้องรอติดตามกันต่อไปแต่หากกลุ่มผู้เคลื่อนไหวที่ยกประเด็นความยุติธรรมเพื่อชาวมุสลิมยังคงมีความขัดแย้งกันเองเช่นนี้ โอกาสการเข้ามามีอำนาจทางกการเมืองของกลุ่มการเมืองแนวคิดอิสลามนิยมในฟิลิปปินส์คงอยู่ไกลออกไปกว่าเดิม

เขียนโดยซูไรดา สาตา

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

สีดา สอนศรี.ฟิลิปปินส์: จากงครามโลกครั้งที่2 สู่พลังประชาชน.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ2537


อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก




เฟรดดี้ อากีลาร์ นักดนตรีชาว ฟิลิปปินส์ ได้เปลี่ยนศาสนามารับอิสลาม เพื่อแต่งงานกับแฟนสาวที่มีอายุ 16 ปี เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2013 ได้เกิดขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าว เฟรดดี้ อากีลาร์ เพื่อไปสู่ขอเจ้าสาว Juvy Albao Gatdula และใช้เวลาในการเข้าสู่ขอเจ้ากับคุณพ่อเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ และหลังจากนั้น นักร้องดังกล่าวได้เปลี่ยนศาสนาอิสลาม เพื่อนที่แต่งงานกับเจ้าสาวที่มีอายุ16 ปี ซึ่งในขณะเดียวกัน กฎหมายของประเทศฟิลิปปินส์ห้ามผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า18 ปีมีการแต่งงาน และในขณะที่กฎหมายของอิสลามผู้หญิงสามารถแต่งงานกับผู้ชายหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก

            ดังนั้น การแต่งงานระหว่างนักร้องฟิลิปินส์ที่มีอายุ 60 ปี กับแฟนสาวที่มีอายุ16 ปี ก็ได้จัดขึ้นเมือวันที่ศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกกายน 2013 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าอายุจะห่างกันถึง44ปี ก็ไม่เป็นอุปสรรค์ของทั้งสองคน ดังที่เรียกว่า”อายุเป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น ความรู้สึกต่างหากที่สำคัญ” ซึ่งในพิธีงานแต่งงานของทั้งสองอยู่ภายใต้พิธีทางศาสนาอิสลาม โดยในงานแต่งของทั้งสองมีผู้ที่เป็นพยานมากมาย และในเวลาถัดมาได้เริ่มต้นโดยการอ่านอัลกุรอานและคำกล่าวของคู่บ่าวสาว และนักร้องหนุ่มได้กล่าวว่า “ถึงแม้เขาจะเคยแต่งงานมาแล้ว และเคยมีลูกกับอดีตภรรยา แต่สำหรับการแต่งงานครั้งนี้เขามั่นใจในความรักของคนรักอย่างแท้จริง และการแต่งงานในครั้งนี้ไม่มีใครบังคับอะไรทั้งสิ้น มาจากความรักของเราทั้สองล้วนๆ” สิ้นสุดคำกล่าวของเจ้าบ่าว ทำให้คนที่มาร่วมงานมั่นใจว่า เฟรดดี้ อากีลาร์ สามารถที่จะเลี้ยงดูแฟนสาวได้ และตามด้วยเสียงปรบมือดังก้องทั่วห้องเลย

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เขตปกครองอิสระมุสลิมมินดาเนา

การจัดตั้งเขตปกครองอิสระมุสลิมมินเนา ( ARMM)
เขตปกครองอิสระหรือเขตปกครองพิเศษมุสลิมในมินดาเนานี้ จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 1 สิงหาคม 1989 โดยผ่านพ.ร.บ.แห่งสาธารณรัฐ และมีจังหวัดที่ต้องการมีสวนร่วมในการลงประชามติในการจัดตั้งเป็นพื้นที่เขตปกครองอิสระ เช่น  Basilan, Cotabato, Davao del Sur, Lanao del Norte, Lanao del Sur, Maguindanao, Palawan, South Cotabato, Sultan Kudarat, Sulu, Tawi-Tawi, Zamboanga del Norte และ Zamboanga del Sur รวมทั้งเมือง Cotabato, Dapitan, Dipolog, General Santos, Iligan, Marawi, Pagadian, Puerto Princesa และ Zamboanga เพื่อแสดงความต้องการว่าจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งใน ARMM  และมีพื้นที่ที่จะเข้ารวมในเขตปกครองอิสระนี้คือ Lanao del Sur, Maguindanao, Sulu และ Tawi-Tawi ต่อมาเขตปกครองอิสระเริ่มจัดตั้งเป็นทางการเมื่อ 6พฤศจิกายน 1990 โดยมีเมือง Cotabato City เป็นศูนย์กลางอำนาจการบริหารของรัฐมินดาเนา จำนวนจังหวัดที่อยู่ในเขตปกครองพิเศษของมุสลิมมินดาเนามีทั้งหมด 6 เมือง 1 แห่ง เทศบาล 106 แห่ง หมู่บ้าน 2,469 แห่ง ภาษาที่ใช้ Banguingui, Maguindanao, Maranao, Tausug, Yakanและ Sama Autonomous Region in Muslim Mindanao หรือคำย่อว่า ARMM เป็นเขตการปกครองของจังหวัดที่มีชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่ ประกอบด้วยจังหวัดต่างๆ คือ Basilan, Lanao del Sur, Maguindanao, Shariff Kabunsuan, Sulu และ Tawi-Tawi และอีก 1 เมืองคือ เมืองมาราวี(the Islamic City of Marawi) เป็นพื้นที่ที่มีองค์กรบริหารเป็นของตนเอง

อ้างอิงจาก

ผลกระทบต่อฟิลิปปินส์ของพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน


             ประเทศฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบอย่างมากมายมหาศาลไม่ว่าในด้านการดำรงอยู่ประชาชนและด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายรุนแรงและเกิดการสูญเสียบ้านเรือนอย่างนับไม่ถ้วนและทำให้เกิดการเสียชีวิตโดยเหยื่อส่วนมากเสียชีวิตเนื่องจากการจมน้ำและถูกตึกถล่มทับและยังส่งผลให้ในหลายพื้นที่ของฟิลิปปินส์ไม่มีไฟฟ้า ประปา และสื่อสารโทรคมนาคม ถูกตัดขาดในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในเมืองทาโคลบานบนเกาะเลย์เตซึ่งถูกพายุพัดกระหน่ำ จึงกระทบในส่วนของทางด้านการแพทย์ทำให้ประชากรได้รับความเดือนร้อน เช่นในกรณีของเด็กน้อยอายุ 3วัน วัน หลังไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนทำไฟฟ้าดับทั่วเมือง ต้องเสียชีวิตลงด้วยภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดแพทย์ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยหายใจได้  นอกจากนี้ยังส่งผลในทางสิ่งสาธารนูปโภคบริโภคทำให้ประชาชนขาดอาหารและเครื่องดื่มและเสื้อผ้าในการดำรงชีวิตและเนื่องจากปัญหาขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า และทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของกลุ่มผู้ประสบภัยนั้นทำให้เกิดการปล้นประชาชนจำนวนมากยังได้บุกปล้นร้านขายของชำและปั๊มน้ำมัน เพื่อหาอาหาร เชื้อเพลิงและน้ำดื่ม รวมถึงมีการทุบตู้เอทีเอ็มเพื่อขโมยเงินอีกด้วยและที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงอีกประเด็นหนึ่งก็คือยังมีน้ำมันกว่า 5 แสนลิตร ที่รั่วไหลลงสู่ทะเลทำให้เกิดเกิดการขาดทุนอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

อ้างอิง : http://hilight.kapook.com/view/93366

 

ฟิลิปปินส์สั่งให้ครูมุสลิมถอด"ฮิญาบ"ออกขณะทำการสอน



อีกการเคลื่อนไหวหนึ่งที่เราได้เห็นจากชาวมุสลิมในฟิลิปปินส์คือการออกมาเรียกร้องของครูมุสลิมเกี่ยวกับการสวมฮิญาบที่มีข่าวออกมาว่าทางการฟิลิปปินส์ออกคำสั่งให้ครูที่เป็นชาวมุสลิมทั่วประเทศ ถอดผ้าคลุมหน้า หรือฮิญาบออก ระหว่างทำการเรียนการสอนในห้องเรียน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีมากขึ้นและทำให้นักเรียนมีสนิทสนมใกล้ชิดกับครูมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังทำให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจและสบายใจมากขึ้น โดยเฉพาะในการเรียนภาษาที่ต้องอาศัยการสังเกตรูปปากขณะออกเสียง เป็นต้น  และหลังจากที่ครูสอนหนังสือเสร็จแล้ว ครูก็สามารถ สวมฮิญาบได้ตามปกติ ทางการฟิลิปปินส์ออกกฎหมายนี้ จึงทำให้ครูมุสลิมไม่เห็นด้วยกับกฎข้อบังคับนี้และออกมาเรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและศรัทธาเพราะพวกเธอกังวลอย่างมากับข่าวที่ออกมา  เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวกับศาสนาของพวกเธอที่สั่งให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมศีรษะ
อย่างไรก็ตาม ทางด้านของหน่วยงานด้านกิจการของชาวมุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้ออกมาระบุว่า ยังไม่ได้รับเรื่องร้องทุกข์ หรือคัดค้านนโยบายดังกล่าว จากครูชาวมุสลิมแต่อย่างใด และสำหรับเด็กนักเรียนที่เป็นชาวมุสลิมนั้น ยังคงได้รับอนุญาตให้สวมฮิญาบ หรือเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมมาโรงเรียนได้ และหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ได้ยินไปถึงกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีแถลงการณ์ออกมาจากกระทรวงศึกษาธิการฟิลิปปินส์ ว่า ไม่ได้สั่งห้ามครูชาวมุสลิมสวม ผ้าคลุมผมตามหลักศาสนาอิสลาม แต่กระทรวงออกคำสั่งให้ครูมุสลิมผู้สอนวิชาภาษาอารบิกและวิชาหลักการอิสลาม ถอด ผ้าคลุมหน้า” (niqab) ขณะทำการสอน จึงอาจทำให้เกิดข้อกังวลกับครูชาวมุสลิมในฟิลิปปินส์ดังกล่าว และได้ออกมาชี้แจง
           ครูจะได้รับอนุญาตให้สวมผ้าคลุมหน้าต่อเมื่อออกนอกห้องเรียน และการถอดผ้าคลุมหน้าจะช่วยสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารให้ชัดเจนมากขึ้น
          ทางกระทรวงเน้นย้ำว่า คำสั่งมีเป้าหมายไปที่ครูผู้สอนวิชาดังกล่าวราว 1,600 คน เท่านั้น และใน 1,600 คนนั้นก็มีอยู่ไม่กี่คนที่ใช้ผ้าคลุมหน้า
ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ สาขาอิสลามศึกษา กล่าวว่า ฟิลิปปินส์ต้องระมัดระวังในการออกคำสั่งในลักษณะนี้ เพราะนี่ ไม่ใช่แค่ (เรื่อง) เสรีภาพในการนับถือศาสนาของผู้หญิง หากแต่ยังเป็นพระบัญชาจากอัลลอฮฺ ที่ให้ผู้หญิงคลุมศีรษะเช่นเดียวกับที่แม่ชีคลุม


อ้งอิงจาก
การรื้อถอนมัสยิดในประเทศฟิลิปปินส์


ในเดือนกันยายน 2013 ได้เกิดการรื้อถอนมัสยิดในเมืองมะนิลา เนื่องจากต้องการใช้พื้นที่ดังกล่าวได้การก่อสร้างศูนย์การค้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความไม่พอใจแก่ชาวมุสลิมในพื้นที่มีกี่ออกมาเรียกร้องและขอความช่วยเหลือจากภาครัฐให้หยุดการรื้อถอนเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้สำหรับการละหมาด ประกอบพิธีการทางศาสนาเป็นเสมือนพื้นที่ศูนย์รวมชาวมุสลิมแต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวกลับไม่มีผลใดๆ ต่อการรื้อถอน

 โดยJose Erwin Villacorte หัวหน้าตำรวจภาคใต้ได้กล่าวว่ามัสยิดมีโครงสร้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่การก่อสร้างและการรื้อถอนในครั้งนี้ก็เป็นไปตามกฎหมายและมีหมายศาลเป็นหลักฐานยืนยัน จึงทำให้ในสุดมัสยิดแห่งนี้ก็ถูกรื้อถอดอย่างไม่มีใครคัดค้านได้


อ้างอิงจาก http://www.philstar.com/metro/2013/09/26/1238145/
mosque- baclaran-demolished

           http://www.abs-cbnnews.com/nation/metro-manila/09/25/13/mosque-and-homes-
            baclaran-demolished

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

น้ำมันรั่วในอ่าวมะนิลา



เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุน้ำมันดีเซล 5 แสนลิตรของบริษัทรั่วในอ่าวมะนิลาของฟิลิปปินส์จึงทำให้ทะเลมีสีแดงกระจายและเกิดคราบบริเวณฝั่งของอ่าวมะนิลาและสัตว์น้ำตายเป็นจำนวนมากจึงทำให้    นายอาซิส เปเรซ หัวหน้าสำนักงานประมงและทรัพยากรทางทะเลของฟิลิปปินส์ประกาศสั่งห้ามการจับและจำหน่ายสัตว์น้ำ เช่น หอย กุ้ง และปู จากบริเวณที่เกิดเหตุจนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับพิษจากน้ำมันจากการรับประทานสัตว์น้ำเหล่านี้ทำให้ต้องปิดอ่าวชั่วคราวจึงทำให้ชาวบ้านบริเวณอ่าวได้รับความเดือดร้อน อุตสาหกรรมการประมงได้รับความเสียหายและขาดทุนเป็นจำนวนมากเพราะอ่าวมะนิลานับว่าแหล่งทำประมงที่สำคัญของฟิลิปปินส์นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านต่อมาได้มีรายงายว่าประชาชนหลายคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจากปัญหาระบบการหายใจ  เนื่องจากกลิ่นน้ำมันที่คละคลุ้งขึ้นจากทะเล ภายหลัง นายลูบิน เนโปมูเซโน ประธานบริษัท เปตรอน มีแถลงการณ์ในหน้าเฟซบุ๊คของบริษัทฯ ว่าบริษัทจะขอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และขอโทษจากใจจริง และจะรับประกันว่าทุกชุมชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุด บริษัทจะดำเนินการแก้ไขอย่างเหมาะสมและทำความสะอาดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ  เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วตามความจำเป็น นอกจากนี้ บริษัทเปตรอน คอร์ป เจ้าของคลังน้ำมัน ได้ทำข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลในการจัดหาทุ่นสกัดคราบน้ำมัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเร่งขจัดคราบน้ำมันให้เร็วที่สุด โฆษกสำนักงานยามฝั่ง เปิดเผยว่า สามารถกำจัดควบคุมคราบน้ำมันส่วนใหญ่ได้แล้ว และคราบบางส่วนได้ระเหยขึ้นสู่อากาศเมื่อสัมผัสกับแสงอาทิตย์ แต่ถึงกระนั้น คราบน้ำมันก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์อยู่ดี

อ้างอิงจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid

                      http://www.mcot.net/site/content?id

การปกครองของฟิลิปปินส์

หากจะถามว่าประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลทางการเมืองจากตะวันตกมากที่สุด ที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ในอดีตจนถึงในปัจจุบัน คำตอบคงหนีไม่พ้นฟิลิปปินส์ ซึ่งฟิลิปปินส์ตกอยู่ในอาณานิคมของสเปนกว่าสามศตวรรษต่อด้วยสหรัฐอเมริกาอีกกว่าครึ่งศตวรรษ จนกระทั่งการประกาศเอกราชในปี 1946 ดังนั้น วัฒนธรรมธรรมของคนฟิลิปปินส์จึงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมแบบคาทอลิกจากสเปนในช่วงการครอบครองอย่างยาวนานดังกล่าว ภายใต้สเปนและสหรัฐฯทำให้เกิดการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมพื้นเมือง วัฒนธรรมมุสลิม วัฒนธรรมสเปนและอเมริกัน ศีลธรรมแบบคริสต์ศาสนาได้เข้ามาพร้อมกับการเป็นอาณานิคม และมีบทบาทอย่างมากในการครอบงำบรรทัดฐานของสังคม ส่งผลให้ประชาชนชาวฟิลิปปินส์มีวัฒนธรรมทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับการอุปถัมภ์ค้ำจุนซึ่งกันและกัน มีลักษณะครอบครัวที่ใกล้ชิดแบบสเปนแต่มีความทันสมัยแบบอเมริกัน สังคมและสิ่งแวดล้อมในฟิลิปปินส์ภายใต้การครอบครองของสเปนและสหรัฐฯเป็นสิ่งกำหนดให้ฟิลิปปินส์มีความเป็นอยู่เช่นปัจจุบัน
ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีการปฏิวัติชาติจากอาณานิคมมีการประกาศเอกราชของตนเองแต่ก็ถูกสหรัฐอเมริกาช่วงชิงอำนาจอธิปไตยไปภายในพริบตา ถือเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีการประกาศหลักการสิทธิมนุษยชน มีการหยั่งเสียงสอบถามความเห็นทางการเมืองของประชาชนเป็นประเทศแรก ในเรื่องประเด็นความเท่าเทียม/ความเสมอภาคทางเพศนั้นฟิลิปปินส์เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่หญิงชายมีสิทธิสภาพเท่าเทียมกันมากที่สุดก็ว่าได้ เนื่องจากอิทธิพลและวัฒนธรรมเสรีประชาธิปไตยแบบอเมริกันที่เผยแพร่เข้ามาในช่วงอาณานิคมนั่นเอง ทั้งในเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญรุดหน้ามากที่สุดในเอเชีย
เมือวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) ได้รับเอกราชจากอเมริกา หลังจากที่ได้ตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนหน้านั้นเคยเป็นอาณานิคมของสเปน ปัจจุบันมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข รายชื่อประธานาธิบดีคนแรกถึงคนปัจจุบัน (2013)
1        เอมิลิโอ อากินัลโด ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2442ถึง1 เมษายน พ.ศ. 2444
เป็นนักปฏิวัติในการเรียกร้องเอกราชของฟิลิปปินส์จากสเปน รุ่นเดียวกับโฮเซ รีซัล และอันเดรส โบนีฟาซีโอ เขาเป็นผู้นำในการลุกฮือขึ้นต่อสู้กับสเปนด้วยอาวุธหลังการถูกประหารชีวิตของรีซัล เป็นนักปฏิวัติชาวฟิลิปปินส์ที่มีบทบาทในการจัดตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 แยกออกมาจากการเป็นอาณานิคมของสเปนในครั้งแรก เมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2440 ในชื่อสาธารณรัฐไบอักนาบาโต และได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2441 ก่อนจะกลายเป็นอาณานิคมของสหรัฐ เขาถูกจับกุมเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ต่อจากสเปน
2        มานูเอล เกซอน15 พฤศจิกายน ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 ถึง 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487
3        โฮเซ ลอเรลได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 14 ตุลาคม  พ.ศ. 2486 ถึง 17 สิงหาคม พ.ศ. 2488
4        เซอร์จิโอ ออสมีนา ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ถึง 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
5        มานูเอล โรซาส ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ถึง 15 เมษายน พ.ศ. 2491
6        เอลปิดิโอ กีริโน ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 17 เมษายน พ.ศ. 2491 ถึง 30 ธันวาคม พ.ศ. 2496
7        รามอน แมกไซไซ ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2496 ถึง 17 มีนาคม พ.ศ. 2500
8        คาร์ลอส การ์เซีย ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่18 มีนาคม พ.ศ. 2500 ถึง 30 ธันวาคม พ.ศ. 2504
9        ดิออสดาโด มากาปากัล ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่30 ธันวาคม พ.ศ. 2504 ถึง 30 ธันวาคม พ.ศ. 2508
10    เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2508 ถึง 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 เป็นนักการเมืองที่อยู่ได้นาน และก็มีปัญหาด้านเผด็จการ ก่อปัญหาทำให้ระบบการปกครองของประเทศกลายเป็นเล่นพรรคเล่นพวก ดังเช่นประธานาธิบดีอย่าง Ferdinand Marcos ซึ่งช่วงที่ได้ปกครองประเทศกว่า 30 ปี เป็นยุคความเสื่อมโทรมในทุกด้านของประเทศ
11    คอราซอน อากีโน ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535เป็นประธานธิบดีมีการปฏิรูปการปกครองแล้ว สังคมได้เลือกคนเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างนาง Corazon Aquino ซึ่งมีความตั้งใจดี มีความพยายามที่จะนำประเทศสู่ประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้าน การมีความพยายามรัฐประหารเกือบตลอดเวลาโดยกลุ่มคนที่เสียอำนาจ และอีกประการหนึ่งคือความไม่มีประสบการณ์ด้านการบริหารองค์กรและประเทศขนาดใหญ่
12    ฟิเดล รามอส ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541
เป็นผู้นำที่มีลักษณะหนึ่งที่เข้าสู่ตำแหน่งชนะการเลือกตั้งได้อย่างเฉียดฉิว มีคนหวาดระแวงเพราะเป็นญาติกับเผด็จการเดิม อย่าง Marcos และยังมีพื้นฐานมาจากทหาร เขาคือฟิเดล รามอส
13    โจเซฟ เอสตราดา ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ถึง 20 มกราคม พ.ศ. 2544
ในระยะหลังนี้ มีประธานาธิบดีที่มีฐานมวลชนให้การสนับสนุนอย่างหนาแน่น ดังประธานาธิบดี Estrada พระเอกภาพยนตร์ที่คนรู้จักก้นทั่วประเทศ เป็นประธานาธิบดีแบบประชานิยม (Populists) ไม่ต่างอะไรกับมิตร ชัญบัญชา พระเอกจอเงินตลอดกาลของไทย แต่ก็ต้องประสบกับความไม่มีความสามารถทางการบริหาร และประกอบกับการมีปัญหาด้านความไม่โปร่งใสทางการเมือง การมีกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปแอบแผง แสวงหาโอกาสทางธุรกิจต่างๆ
14    กลอเรีย อาร์โรโย ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 20 มกราคม พ.ศ. 2544 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ประธานาธิบดีอาโรโยได้เข้ามารับตำแหน่งจากเอสตราดา อาโรโยมีความโดดเด่นในด้านการทูต อาโรโยสามารถสร้างนโยบายสันติภาพกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ แต่ภายหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อาโรโยหันมาร่วมมือและเน้นการจัดการอย่างรุนแรงกับกลุ่มกบฏในฟิลิปปินส์เอง ซึ่งสหรัฐมองว่าเป็นเครือข่ายการก่อการร้ายที่โยงใยกันกับกลุ่มอัลกอดะห์
15    เบนิกโน อากีโน ที่ 3 ได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553ดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็น            ประธานธิบดีคนปัจจุบัน
ดังนั้น ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ทุกสมัยโดยเฉพาะในยุคหลังสุดอย่างอาโรโยนั้น ต้องเน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มอิทธิพลอื่นๆอย่างมากเพื่อก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อหยุดยั้งการเรียกร้อง การต่อต้านใดๆ การจัดสรรผลประโยชน์ทั้งโดยปกปิดและเปิดเผยจึงกลายเป็นความจำเป็นของการเมืองเชิงอิทธิพลในฟิลิปปินส์