ประเทศฟิลิปปินส์กับกลุ่มแนวคิดอิสลามนิยม
ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สำหรับศาสนาหลักของที่นี่คือ ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก
ซึ่งเป็นผลมาจากการเคยตกเป็นประเทศในอาณานิคมสเปนมานามถึง 300 ปี
แต่ทั้งนี้สเปนก็ไม่อาจขยายอิทธิพลของศาสนาไปทั่วประเทศ
โดยเฉพาะในตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เช่น หมู่เกาะมินดาเนา
ก็ถูกขัดขวางจากศาสนาอิสลามที่เป็นเหมือนกำแพงสำคัญที่สกัดการไหลลงของคริสตจักร
แต่แล้วเมื่อฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชให้เป็นรัฐอธิปไตยบทบาทในการปกครองและบริหารประเทศก็ได้ตกอยู่ในมือของรัฐบาลที่เป็นชนชาวคริสต์
เพราะเป็นพลเมืองที่มีมากกว่า ประกอบกับการสนับสนุนการให้อำนาจจากสหรัฐฯ
จึงทำให้ชาวมุสลิมในพื้นที่ตอนใต้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและไร้ซึ่งอำนาจทางการเมืองในพื้นที่ส่วนกลาง
อีกทั้งรัฐบาลได้ส่งชาวคริสต์เข้าไปอาศัยในพื้นที่ชาวมุสลิมในตอนใต้
เพื่อกลืนกลายวัฒนธรรมและจัดสรรทรัพยากร การเข้าไปของชาวคริสต์ในมินดาเนา
สร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมท้องถิ่น
เพราะมีความรู้สึกว่าชาวคริสต์เข้ามาแย่งพื้นที่ทำกินและอาจทำให้อารยธรรมของชาวมุสลิมท้องถิ่นถูกทำลาย
ซึ่งปัญหาความขัดแย้งด้านอารยธรรมและศาสนานั้นเป็นปัญหาของชาวคริสต์กับชาวมุสลิมมาตั้งแต่สมัยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนเสียอีก
ประกอบกับในช่วงที่ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชและสั่งชาวคริสต์อพยพไปยังพื้นที่ของชาวมุสลิมนั้น
ได้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ชาวคริสต์มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่ดีได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
แต่ชาวมุสลิมท้องถิ่นกลับมีภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง
จึงยิ่งเพิ่มความไม่พอใจแก่ชาวมุสลิมต่อชาวคริสต์
จนนำไปสู่ความบาดหมางและสู้รบกันระหว่างชนสองศาสนา
และเหตุการณ์ก็ยิ่งแล้วร้ายลงกว่าเดิมเมื่อรัฐบาลได้ส่งทหารชายชาวคริสต์เตียน
ทำให้ชาวมุสลิมเข้าใจว่ารัฐบาลเข้าข้างชาวคริสต์เตียน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มมุสลิมจำนวนหนึ่งมีการรวมตัวกันขึ้น
เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชาวมุสลิม โดยกลุ่มนี้มีชื่อว่า Moro
National Liberation Front (MNLF)
Moro National Liberation Front (MNLF) กระบอกเสียงแห่งมุสลิมฟิลิปปินส์
การก่อเกิด MNLF
หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร
MNLF
เป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกครองตัวเองของกลุ่มมุสลิมเพราะคิดว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล
MNLF จัดตั้งขึ้นโดยนูร์ มิซูอารี
มุสลิมชาวโมโรที่ได้ที่ไปศึกษาที่ประเทศลิเบีย แต่ก่อนการก่อตั้ง MNLF นั้นได้มีการเกิดกลุ่ม MIM (Muslim
Independence Movement ) ในเมืองโคจาบาโต โดยการนำของ Datu
Udtug Matalam ซึ่งมีเป้าหมายของกลุ่มคือการแบ่งแยกมินดาเนาเป็นรัฐมุสลิม
แต่ต่อมากลุ่มนี้ได้ลดบทบาทลงในการเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์ทำให้ มิซาอารี
เริ่มจัดตั้ง MNLF ขึ้นในปี 1971 โดย
MNLF ได้รับความช่วยเหลือในด้านกลยุทธ์จากรัฐซาบาร์
ประเทศมาเลเซียและกัดดาฟี จากประเทศลิเบีย โดยในระยะแรก MNLF
ได้เรียกร้องให้แยกมินดาเนาเป็นรัฐอิสระและให้รัฐบาลยอมรับองค์กรนี้เป็นองค์กรถูกกฎหมายที่เป็นตัวแทนของมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์
เห็นได้ว่ากลุ่มมุสลิมแนวคิดอิสลามนิยมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์เลือกการเคลื่อนไหวในการจัดตั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดอาวุธและใช้กำลังในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องและต่อรองอำนาจทางการเมืองกับรัฐบาลแทนการจัดตั้งพรรคการเมืองลงสมัครแข่งขันทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งในการบริหารและปกครองที่เป็นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นฐานเสียงที่สนับสนุนจะมากพอที่จะนำไปสู่การมีอำนาจต่อรองทางการเมืองหรือไม่
เพราะมุสลิมในฟิลิปปินส์เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย
ประกอบกับรัฐบาลไม่เคยพัฒนาระบบการศึกษาและเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านี้เท่าที่ควร
มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสทางการศึกษา
การขอแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระนั้นมีแรงบีบคั่นมาจากการภาวะทางเศรษฐกิจและความไม่ยุติธรรมของรัฐบาลในการให้สิทธิความเป็นพลเมืองแก่ชาวมุสลิมทางตอนใต้
ประกอบกับความคิดของชาวมุสลิมที่เชื่อว่า
ดินแดนแถบนี้ในอดีตเป็นของบรรพบุรุษมุสลิมทั้งหมดที่มีการปกครองแบบอิสลาม
ในระบบสุลต่าน โดยสุลต่านสำคัญคือสุลต่านซูลูและมากินดา ความนิยมใน MNLF มีมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะชาวมุสลิมเชื่อว่าอุดมการณ์นี้จะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวมุสลิมดีขึ้น
การได้รับความยอมรับจากชาวมุสลิมท้องถิ่นทำให้รัฐบาลมีการปราบปราม MNLF อย่างหนักซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นคือ
มาร์กอสจากการปราบปรามอย่างหนักทำให้มีการปลุกระดมความเป็นชาตินิยมขึ้นในกลุ่มมุสลิมในตอนใต้ของฟิลิปปินส์โดยอาศัยความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน
ศาสนาเดียวกัน พื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันภายใต้คำเรียกร่วมกันว่า Bangsa
Moro เป็นการพัฒนาแนวคิดจากมิชารี
ซึ่งคำว่าโมโรคือคำที่ชาวสเปนใช้เรียกมุสลิมในฟิลิปปินส์ในสมัยที่ปกครองฟิลิปปินส์และเป็นกลุ่มที่ต่อต้านสเปนมาตลอด
แนวคิดนี้มีผลต่อการขยายอุดมการณ์ของ MNLF เป็นอย่างดี
การเคลื่อนไหวของ
MNLF
ถือเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่งเพราะทำให้รัฐบาลให้ความสนใจกับปัญหาในตอนใต้และชาวมุสลิมมากขึ้น
โดยสมัยของรัฐบาลมาร์กอสได้มีการขัดตั้ง Amanah Bank จัดตั้งศูนย์มุสลิมศึกษาที่
U.P และจัดตั้งศาสนามุสลิม Shariah Court ขึ้นรวมถึงยังสนับสนุนให้ชาวมุสลิมได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลมากขึ้นด้วย
และมีการพยายามเจรจากับ MNLF ในการประชุม OIC (Oganization of Islamic conference)
เพื่อหาข้อยุติความรุนแรง แต่การเจรจาในสมัยรัฐบาลมาร์กอสไม่เป็นผลเท่าที่ควร
การแก้ไขปัญหาของมาร์กอสดูเหมือนเป็นไปได้ด้วยดีแต่สุดท้ายแก้ไม่อาจแก้ปัญหากลุ่ม MNLF ได้อย่างที่คิด
เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
และอาศัยอำนาจเผด็จการแต่งตั้งมุสลิมที่เป็นพรรคพวกตัวเองเข้าไปดำเนินกิจการต่างๆ
แม้จะมีการพัฒนาแต่เป็นการพัฒนาเฉพาะกลุ่มของตัวเอง
ทำให้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้รับความยุติธรรม(สีดา สอนศรี ,มติชนรายวัน 2548:4 )
ทำให้ในตอนหลัง MNLF รวมมือกับพรรคบายันพรรคการเมืองฝ่ายเป็นกลางของผู้นำรุ่นเก่าของฟิลิปปินส์ในการโค่นมาร์กอส
ความขัดแย้งภายของกุล่ม MNLF
การเคลื่อนไหวของ
MNLF
ที่มีความต่อเนื่องและเข้มแข็งกลับต้องพบกับปัญหาเมื่อสมาชิกร่วมขบวนการมีความคิดเห็นที่ขดแย้งกัน
เมื่อในตอนหลังมิซูอารีผู้ก่อตั้ง MNLF
ต้องการเพียงเข้าร่วมกับรัฐบาลและให้ภาคใต้เป็นเขตปกครองตนเองนั้นซึ่งเป็นความคิดที่สวนทางกับสมาชิกในกลุ่มนั้นคือ
ซาลามัต ฮาซิมที่มีความคิดที่ต้องการแยกภาคใต้มาเป็นรัฐอิสระเพื่อก่อตั้งรัฐอิสลาม
จึงมีการแยกตัวออกมาตั้งกลุ่มใหม่คือ MILF (แนวร่วมปลดแอกอิสลามโมโร) ในช่วงทศวรรษ 1970 ตอนที่ MNLF
ไปทำความตกลงกับรัฐบาลโดยยินยอมละทิ้งข้อเรียกร้องเรื่องรัฐเอกราช
และยอมรับเพียงฐานะการเป็นเขตกึ่งปกครองตนเองต่อมาหลังจากผ่านการลงประชามติของประชาชนในท้องถิ่นเมื่อปี
1989 แล้ว พื้นที่ปกครองตนเองนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักเรียกขานกันในชื่อว่า “เขตปกครองตนเองของชาวมุสลิมในมินดาเนา” (Autonomous Region in
Muslim Mindanao ใช้อักษรย่อว่า ARMM) (Zenn Jacob, ,2012:6)
และต่อมาเมื่อ MNLF
ได้เข้าร่วมลงนามเพื่อสันติภาพกับรัฐบาลในปี ค.ศ. 1996 ในสมัยรัฐบาลรามอส
ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับล่าสุดที่รัฐบาลกับกลุ่ม MNLF
ทำขึ้น กลุ่ม MILF จึงทำการต่อต้านรัฐบาล
โดยการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ตอนใต้
เพื่อต่อร้องข้อเสนอที่ต้องการดินแดนในมินดาเนา
ทุกรัฐบาลในฟิลิปปินส์มีการนำปัญหาภาคใต้มาแก้ไขแต่ยังไม่สามารถหาทางออกที่นำไปสู่ความสันติที่แท้จริงได้และในปัจจุบัน
MILF ได้กลายเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่ที่สุดในมินดาเนาจนมาถึงสมัยของประธานาธิบดีเบนิกโน
อาคิโนที่สาม ได้ทำการเจรากับหัวหน้า MILF คนปัจจุบันนั้นคือ มูราด อิบราฮิม เพื่อลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ณ
ทำเนียบประธานาธิบดีกรุงมะนิลาในเดือนตุลาคม 2012 โดยมีนาจิบ ราซัค
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมาเป็นสักขีพยาน
ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของการเคลื่อนไหวของมุสลิมในฟิลิปปินส์เพื่อเรียกร้องสิทธิการปกครองตามอุดมการณ์ของตนเอง
ข้อตกลงนี้อำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่จัดอยู่ในประเภทเป็นอำนาจอธิปไตยเฉพาะของรัฐ
เป็นต้นว่า การดำเนินนโยบายการต่างประเทศ และการดำเนินกิจการทางด้านกลาโหม
ในข้อตกลงนี้ระบุว่าจะยังคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลางในกรุงมะนิลา
แต่บังซาโมโรก็จะมีอำนาจในด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บภาษี และ “สิทธิที่จะทำให้ศาลศาสนาอิสลามมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ถึงแม้ศาลอิสลามและกฎหมายอิสลามจะพิจารณาตัดสินคดีเฉพาะของคนมุสลิมเท่านั้น
(Zenn Jacob,2012:9) ข้อตกลงนี้จะเป็นการปูทางกลุ่ม MILF ในการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มเพื่อยกสถานะภาพให้เป็นที่ยอมรับและถูกต้องตามกฎหมาย
ที่สามารถแสดงอุดมการณ์ของตนผ่านนโยบายพรรค
หนทางสู่ความสันติภาพไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ MILF สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่ม MNLF
กลุ่มกบฏเก่าที่เคยทำสัญญาสงบศึกกับรัฐแล้วที่ยังคงต้องการมีอำนาจในเขตปกครองพิเศษนี้
จนทำให้ มิซูอารี ผู้นำของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน MNLF และกลุ่มBIFF กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใหม่ที่แยกตัวจาก MILFต่างต่อต้านการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ทำการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มแนวMILF ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏ
โดยมีกำลังพลทั้งสิ้น 12,000 คน มิซูอารีเกรงว่า ข้อตกลงจัดตั้งเขตปกครองตนเอง
ที่รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังเจรจากับกลุ่ม
MILF โดยมีทีท่าว่าอาจจะตกลงกันได้เร็วๆ
นี้ จะกีดกันกลุ่ม MNLF ของเขาออกไปนอกวง ขณะที่กลุ่มBIFF นั้นได้แยกตัวออกมาจากกลุ่ม MILF เพราะไม่ต้องการแค่การปกครองตนเอง
แต่ยังเรียกร้องให้แยกดินแดนของชาวมุสลิมทางภาคใต้ออกเป็นประเทศเอกราชด้วย
(ผู้จัดการออนไลน์,3 กันยายน,2556)
จากกนี้ปลายทางการเคลื่อนไหวเพื่อมุสลิมในฟิลิปปินส์จะเป็นอย่างไร
โอกาสการเปลี่ยนจากกบฏเป็นพรรคการเมืองจะเป็นไปได้หรือไม่
ยังคงต้องรอติดตามกันต่อไปแต่หากกลุ่มผู้เคลื่อนไหวที่ยกประเด็นความยุติธรรมเพื่อชาวมุสลิมยังคงมีความขัดแย้งกันเองเช่นนี้
โอกาสการเข้ามามีอำนาจทางกการเมืองของกลุ่มการเมืองแนวคิดอิสลามนิยมในฟิลิปปินส์คงอยู่ไกลออกไปกว่าเดิม
เขียนโดยซูไรดา สาตา
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
สีดา สอนศรี.ฟิลิปปินส์: จากงครามโลกครั้งที่2 สู่พลังประชาชน.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ2537